อาการ Eye Fatigue หรือ อาการตาล้า เป็นภาวะที่ดวงตารู้สึกเหนื่อยล้าจากการใช้งานสายตาอย่างหนักเป็นระยะเวลานาน มักพบในผู้ที่ใช้คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต หรือสมาร์ทโฟนเป็นเวลานาน หรือผู้ที่อ่านหนังสือ เขียนหนังสือ ขับรถระยะทางไกลๆ โดยไม่พักสายตา
อาการของ Eye Fatigue ที่อาจต้องใช้เลนส์ Anti-fatigue ในการแก้ปัญหา มีดังนี้:
-ปวดตา ปวดกระบอกตา หรือปวดบริเวณรอบๆ ดวงตา: เป็นอาการที่พบบ่อยที่สุด เกิดจากการที่กล้ามเนื้อตาทำงานหนักเกินไป
-ตาแห้ง ระคายเคืองตา คันตา หรือแสบตา: การจ้องหน้าจอเป็นเวลานานทำให้กะพริบตาน้อยลง ส่งผลให้น้ำตาระเหยเร็วขึ้น ทำให้ตาแห้งและระคายเคือง
-มองเห็นไม่ชัด ภาพเบลอ หรือเห็นภาพซ้อน: เกิดจากการที่กล้ามเนื้อตาเมื่อยล้า ไม่สามารถปรับโฟกัสได้ดีเท่าที่ควร
-ดวงตามีความไวต่อแสง (แพ้แสง): รู้สึกไม่สบายตาเมื่อเจอแสงจ้า
-ปวดศีรษะ ปวดไมเกรน: มักเป็นอาการร่วมที่เกิดจากการตาล้า
-ปวดคอ บ่า ไหล่: เกิดจากการที่ต้องเกร็งกล้ามเนื้อบริเวณคอและบ่าเพื่อปรับท่าทางการมอง
เลนส์ Anti-fatigue คืออะไร และช่วยได้อย่างไร:
เลนส์ Anti-fatigue หรือ เลนส์ลดการเพ่ง/เลนส์ลดตาล้า เป็นเลนส์ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อช่วยลดภาระการทำงานของดวงตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องใช้สายตาระยะใกล้เป็นเวลานานๆ เช่น การทำงานกับคอมพิวเตอร์ การเล่นโทรศัพท์มือถือ หรือการอ่านหนังสือ
คุณสมบัติหลักของเลนส์ Anti-fatigue:
มีค่าสายตาบวกเล็กน้อยบริเวณด้านล่างของเลนส์: เลนส์ประเภทนี้จะมีค่ากำลังเลนส์พิเศษเพิ่มเข้ามาเล็กน้อยในส่วนล่างของเลนส์ (คล้ายกับเลนส์โปรเกรสซีฟแบบมัลติโฟกัส แต่มีความแตกต่างกัน) เพื่อช่วยลดภาระการเพ่งมองในระยะใกล้ ทำให้กล้ามเนื้อตาไม่ต้องทำงานหนักมากเกินไปและผ่อนคลายขึ้น
ใครที่เหมาะกับเลนส์ Anti-fatigue:
-ผู้ที่ใช้คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต หรือสมาร์ทโฟนเป็นเวลานานในแต่ละวัน
-ผู้ที่ทำงานที่ต้องใช้สายตาระยะใกล้เป็นหลัก เช่น อ่านหนังสือ, เย็บปักถักร้อย
-ผู้ที่เริ่มมีอาการตาล้าบ่อยๆ แต่ยังไม่มีสายตายาวตามวัย (Presbyopia) ชัดเจน
-ผู้ที่ต้องการถนอมสายตาและป้องกันอาการตาล้าในระยะยาว